“โกรธแล้วนะ”
ฉันบ่นอุบอิบกับแมวตัวยักษ์ สัตว์เลี้ยงแสนรักผู้ก่อเหตุ เจ้าตัวแสบนั้นนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างสบายใจ แกว่งหางไปมา และหรี่ตามองหน้ามนุษย์อย่างไม่แยแส หยดเลือดไหลจากปลายจมูก เลือดสีแดงเข้มไหลลงพื้น แผลที่มือยังไม่หายดี นี่ได้รอยใหม่อีกแล้ว
มาเฟียสีขาว และแวมไพร์ลายทาง
ตอนนั้น บ้านเรามีแมวสองหน่วย
ลายสลิดชื่อ “เหมียว” อีกตัวสีขาวชื่อ “กบ” เจ้าของผลงานเลือดปลายจมูกที่เพิ่งเกิดเหตุ ตั้งแต่วัยเด็กจนเข้าสู่วัยแมวสูงอายุสองตัวนี้ไม่เคยญาติดีกัน เจ้ากบขนสีขาวนิ่มถึงตัวเล็กกว่าก็จริง แต่ครองตำแหน่งนักเลงประจำบ้าน ท้าตีท้าต่อยไปทั่วทั้งแมวทั้งหมา ฉันว่าอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อจากกบเป็น “คิง” น่าจะเข้าท่ากว่า
ส่วน “เหมียว” เป็นแมวหวงตัว ไม่เคยยอมให้ใครมาจับต้อง
เหมียวเป็นแมวขนสั้นทรงมะขามป้อม นานๆ ทีถึงจะเดินด้อมๆ อ้อมๆ มาส่งเสียงทักทายแล้วนอนพิงที่แขน เมื่อตอนยังเด็ก เหมียวจะออกมาตอนกลางคืนเท่านั้นเพื่อกินข้าว แล้วหนีไปซ่อนตัวในตอนกลางวันเพื่อไม่ให้ใครเห็น เป็นแมวแวมไพร์อยู่อย่างนั้นเกือบสามอาทิตย์
ชนชั้นและความรักจากแมว
ฉันชอบให้กบและเหมียวมานอนด้วย มนุษย์-แมวหลับอุ่นๆ ไปพร้อมกันเหมือนกับการได้ห่มความรักจากเหล่าสี่ขา-หนึ่งหาง-ขนฟูเป็นพวงยาว
มาเฟียอย่างกบนั้นจะนอนบนหมอนเดียวกับฉัน หลังๆ มานี่กบตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็อาศัยนอนเบียดพุงแมวยักษ์บ้าง อ้อนวอนขอแบ่งปันที่ซุกหัวนอนบ้าง เป็นความเกื้อกูลแบบระแวดระวัง เพราะวันไหนไม่พอใจ ฉันก็โดนกบทำร้ายร่างกายแบบเช้าวันนี้ ส่วนเหมียวที่เป็นประชาชนแมวเกรดบี ได้นอนปลายเตียงหรือบนพื้นเท่านั้น ถ้าริอาจจะมานอนเทียบเคียงระดับเดียวกับ “คิงกบ” นั้นไม่มีทาง โดนไล่ตะเพิดแถมตะปปเป็นของแถม เจ้าสองตัวนี้อยู่กันด้วยวรรณะแบบแมวๆ ล่ะมั๊ง ซึ่งฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า พวกเรา -มนุษย์- อยู่ชั้นไหนของระบบนี้
ถ้ากบเป็นเจ้าของบ้านคงไล่เหมียวออกจากระบบทะเบียนไปนานแล้ว บางทีพวกเราก็คิดว่า กบคงอยากเป็นแมวหนึ่งเดียวในบ้านมากกว่า กบนั้นข่มขู่และแกล้งหมียวอยู่บ่อยๆ บางทีฉันต้องออกมาปรามกบให้เบามือกับเพื่อนบ้าง เหมียวรักสงบแต่ก็ไม่ยอมเป็นลูกไล่เสียทุกครั้งหรอก การฮึดสู้และเอาคืนอย่างเจ็บแสบนั้นเล่นเอากบและคนในบ้านที่ทั้งงงและขำในความกล้าของเหมียว แต่อย่างนั้นก็เถอะ เจ้าสองตัวนี้ก็อยู่กันไปแบบยิ่งเกลียดยิ่งเจอกันมาแล้วถึงแปดปีมนุษย์เลยนะ
จาก “มาเฟีย” สู่ “คิง”
เหมียวไม่ค่อยสบาย เป็นๆหายๆอยู่ราวหนึ่งปี ฉันคิดว่าเราอาจจะรู้ตัวช้าไปหน่อยว่าเหมียวป่วย การพาแมวน้ำหนัก 8 กิโลกรัมไปหาหมอนั้นลำบากอย่างยิ่ง พวกเราเรียกหมอแมวฉุกเฉินมาที่บ้าน เหมียวทั้งขู่ทั้งวิ่งหนี ข่วนผนังจนบ้านช่องเละเทะไปหมด หมอแมวถึงกับหน้าสลดที่ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการจับตัวแมวสลิดตัวนี้ สามวันถัดมา ยาที่หมอฉุกเฉินจ่ายมานั้นดูจะเห็นผลดี เลือดปนปัสสาวะนั้นไม่มีอีกแล้ว แต่พวกเราก็ดีใจไม่ได้นาน เพราะอาการเหมียวแย่ลงกว่าเดิมมากจนต้องนำไปส่งมือแพทย์ ซึ่งผลตรวจนั้นออกมาค่อนข้างน่าเป็นห่วง
เหมียวเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลหลายครั้ง ฉันคิดเสมอว่ามันจะหายดี ทุกครั้งที่เหมียวกลับมาจากการตรวจร่างกาย เจ้ากบจะกลายเป็นแมวอารมณ์หงุดหงิดและจ้องจะทำร้ายเหมียวอยู่ตลอดเวลา พวกเราต้องจับแยกห้องกันไว้ เหมียวกลายเป็นแมวเครียดและเก็บตัวไม่ออกมาเจอใครอีกเลย
หลังจากผ่าตัดเอากรวดในท้องออกไปได้ไม่นาน เหมียวก็จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่มีใครรู้ว่าทำไม ไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้
ในวันที่เหมียวจากพวกเราไป “กบ” แมวขาวนักเลงประจำบ้านก็ดูจ๋อยไปพอสมควร ฉันว่ากบไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าไม่มีเหมียวอีกแล้ว ทุกคนในบ้านเศร้ากันไปหมด ฉันร้องห่มร้องไห้อยู่นานเป็นเดือน กบนั้นซึมตามกันไปอยู่พักใหญ่ แมวเองคงรับรู้สึกของมนุษย์ได้เหมือนกันล่ะสินะ ฉันเก็บอาหารสำหรับแมวป่วยลงกล่องเพื่อเอาไปบริจาคด้วยความเศร้าใจ แล้วกบได้เลื่อนตำแหน่งเป็นคิงในที่สุด
แมว คือรักแท้
แม่เคยบ่นว่าเลี้ยงแมวทำไมมันไม่มีประโยชน์ ฉันไม่เห็นด้วย เพราะคนที่ได้ประโยชน์จากเหล่าแมวๆ นั้นคือตัวฉันเองนี่แหละ
ฉันเคยถึงขั้นที่ว่านอนไม่หลับ ตาค้างอยู่หลายชั่วโมงถ้าไม่มีแมวมานอนอยู่ข้าง แมวช่วยให้สุขภาพดี ถ้าไม่นับรอยเลือด รอยแผลต่างๆ แล้วก็ถือว่าเป็นเครื่องลดความเครียดที่ออกฤทธิ์ได้ผล เป็นอย่างดี ค่ารักษาและอาหารของเหมียวนั้น เราคิดว่าเป็นค่างวดของ ”รักแท้” ที่ถือว่าพวกเรารับมือได้และเต็มใจอย่างยิ่ง ฉันรักเหล่ามวลแมวสุดหัวใจ โดยเฉพาะกบและเหมียวที่อยู่ในความดูแล ดูจากสุขภาพใจดีขึ้นหลายครั้งเป็นสิ่งยืนยัน ฉันนึกชีวิตที่ไม่มีแมวไม่ออกเลยจริงๆ
เขียนให้กับเหมียวและกบ แด่ความรัก ความอบอุ่นที่มีให้กันในโลกใบนี้
ด้วยรักและคิดถึงเหมียวเสมอ