อยากเป็นแค่คนที่ดีกว่านี้ เพราะ “เบน” ควรได้เจอคนดีๆ ไม่ใช่คนไร้หลักแหล่ง ไม่มีความแน่ใจอย่างฉัน
เบน
ฉันรู้จักกับ “เบน” ในหนึ่งช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด ครั้งนั้น การอยู่ “ให้รอด” ในต่างแดน ในเมืองใหญ่ เมืองใหม่อย่างเบอร์ลินนั้นยากเย็นอย่างยิ่ง
ทั้งการหางานที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทั้งปัญหาที่อยู่อาศัย ต้องย้ายบ้านทุกเดือนสองเดือนเกือบกลายเป็นคนจรอยู่หลายที 2014 จึงเป็นปีที่ท้าทายโชคชะตาอย่างหนักหน่วง
จะอยู่ต่อ หรือ พอแค่นี้แล้วขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน คือคำถามที่คอยกระทุ้งถามว่าจะเลือกแบบไหน จะทำอย่างไรกับอนาคตที่เบอร์ลิน แต่ต่อให้ชีวิตที่มีตรงหน้าจะบ้าบอเพียงไหน หัวใจของสาววัยสามสิบต้นๆ ณ ตอนนั้นยังคงเรียกหาความรักมาเติม มาเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้เนื้อหนังของอารมณ์ไม่แห้งแล้ง
ใครสักคน หรือ คนที่ดีกว่านี้
ตอนนั้น ฉันยังไม่รู้จักหรอกนะ โปรแกรมที่ปัดซ้ายปัดขวาน่ะ จนวันหนึ่งระหว่างท่องเว็บเพื่อหาข้อมูลการสมัครงานก็มีโฆษณาของแพลตฟอร์มสีส้มโผล่มา อย่างกับรู้ว่าผู้ใช้งานคนนี้กำลังหิวรักยังไงยังงั้น ถึงแม้หน้าตากราฟฟิกของเพจจะย้อนยุคอยู่บ้าง แต่การใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่เสียสตางค์ในการตามหา “ใครสักคน” ฉันเลยสมัครสมาชิกอย่างไม่ลังเล
ฉันมีคนมาคุยด้วยหลายคนเลยล่ะ กล่องข้อความมีเมสเสจให้ตอบทุกวัน บางคนก็คะยั้นคะยอขอดูรูป บ้างก็อยากดูของส่วนตัวอย่างอื่น จริงๆ คนคุยสนุกมีเยอะอยู่นะ แต่สุดท้ายก็ไปๆ มาๆ ขาดๆ หายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันไม่พูดภาษาเยอรมันก็ด้วยเหตุผลว่า พวกเขามองหาอย่างอื่นที่ฉันไม่มีให้ เอาน่ะ ถือว่าคุยเล่นไป ไม่ได้ผูกมัดอะไรจนกระทั่งถึงวันที่มีข้อความมาจาก “เบน”
อันที่จริงฉันน่ะชอบหนุ่มยุโรปมากกว่า เลยไม่ค่อยสนหนุ่มจากเอเชียตะวันตกชนชาติเปอร์เชียนเท่าไหร่ในตอนแรก แต่ด้วยความตรงไปตรงมาตั้งแต่ต้น บวกกับความสม่ำเสมอของ “เบน”- นายช่างวิศวกรซอฟต์แวร์มือใหม่ในเบอร์ลิน ที่มาเจอฉัน- ผู้ว้าเหว่และขาดวิ่น ดังนั้นเมื่อสองใจของสองคนจากแดนไกลหมุนมาใกล้ๆ สายสัมพันธ์มนต์รักไส้กรอกเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษจึงเริ่มขึ้นได้ไม่ยาก
ใจอ่อนแล้ว
เราคุยกันทุกวัน หัวข้อก็คือชีวิตประจำวัน เรื่องที่พัก เรื่องวีซ่า เรื่องหางานนั่นแหละ แม้จะไม่ลำบากนัก แต่ “เบน” ก็แสดงออกชัดเจนว่าเป้าหมายที่นี่คืออะไร เขาหวังสูงและมั่นใจว่าจะไปถึง ส่วนฉันก็เล่นบทนางโศกมึนๆ อึนๆ พร่ำเพ้อว่าไม่รู้อนาคตในเบอร์ลินจะไปรอดไหม ซึ่งก็มีนายเบนนี่ล่ะ ที่เฝ้าส่งกำลังใจว่า มันจะต้องดีขึ้นนะ
เราคุยกันเกือบทั้งวัน ฉันใช้เวลาตอนเช้าไปถึงบ่ายเพื่อการสมัครงาน พอใกล้เที่ยงก็จะมีข้อความจากเบนที่แอบส่งมาจากชั้นเรียนภาษาจนโดนผู้สอนดุเอาอยู่บ่อยๆ เขาส่งข้อความมาตอนค่ำๆ อีกครั้ง เราคุยกันไปจนฉันหลับไปทุกคืนอย่างอบอุ่น จากเคยดูแลตัวเองตามลำพัง อยู่ๆ ก็มีใครอีกคนที่คอยนึกถึง คอยส่งความคิดคำนึง มอบกำลังใจในวันที่เราเกือบจะกลายเป็นคนไม่มีค่า ฉันรู้สึกดีนะที่ได้รับรู้ว่ามีใครสักคนหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลมองเห็นว่าเรามีความหมาย มีตัวตนในวันที่ชีวิตใหม่ไม่ง่ายอย่างที่ฝัน เราคุยกันทุกวัน และแทบทั้งวัน หลังจากนั้นสักสองสามสัปดาห์ก็มีความเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาออกมาเจอกันได้แล้วล่ะนะ
แรกพบ
หนุ่มน้อย
ฉันไปรับเบนที่สถานีรถไฟ โดยเลือกใกล้ๆ ที่พักเพื่อใช้ความคุ้นเคยของพื้นที่มาเป็นข้อได้เปรียบ เมื่อเบนมาถึง ฉันแกล้งเดินผ่านไปเพราะอยากรู้ว่า เขาจะรู้ไหมว่านี่คือฉัน เขาจะมีท่าทีกริยายังไงกันเมื่อแรกเห็น แต่นู่น.. ฉันไปหลบหลังเสายืนดูอยู่ไกลๆ เบนกำลังยืนเหงื่อตกบนชานชาลา ฉันปล่อยให้เขาหันซ้ายหันขวาอยู่สักพักถึงค่อยเดินเข้าไปหาและแนะนำตัว เอ้า! ไม่เห็นจะดีใจเท่าไหร่ตอนที่เจอกัน หรือเราไม่สวยอย่างที่หวัง สงสัยนัดครั้งนี้จะพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นหรือเปล่า
ฉันพา “หนุ่มน้อย” ไปร้านกาแฟที่มีของหวานของฝรั่งเศส ร้านเล็กๆ ไม่ได้เก๋ไก๋อะไร แต่เงียบ กาแฟและขนมอร่อยในราคาไม่แพงนัก “เบน” วางไอแพดลงบนโต๊ะ ปลดกระเป๋าสะพายไว้ที่ปลายเท้า ทำหน้างงๆ ไม่ยิ้ม ไม่พูด ส่วนฉันน่ะตรงกันข้าม ไม่ตื่นเต้น ไม่ประหม่า และต้องกลั้นหัวเราะกับพฤติกรรมของอาการตื่นตระหนกของกระทาชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้เขิน หรืออึดอัด หรือจะนึกว่าฉันเป็นมิจฉาชีพหรืออย่างไรกัน
เปิดฉาก
“เบน” อายุน้อยกว่าฉันสองปีนิดๆ ผมสั้นเส้นหนาสีน้ำตาลอ่อน คิ้วหนาตาสีเข้ม หนวดครึ้ม จมูกโด่งเป็นสันสูง นิ้วยาว ผิวสีสว่าง เหนือโนนแก้มใต้ดวงตาจะเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อโดนจ้อง เขาแพ้นมวัวและชอบดื่มชา ฉันสังเกตเห็นว่าไอแพดเป็นอุปกรณ์สำคัญประจำตัว คนทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์คงเป็นแบบนี้มั้ง
ฉันมองหน้าเขาตรงๆ แล้วยิ้มให้ เปิดฉากก่อนเพื่อลดความอึมครึม ด้วยประโยคง่ายๆ “วันนี้เป็นยังไงบ้าง” อย่างนั้นแล้วเขาก็ยังประหยัดการขยับปาก ถามสองคำตอบครึ่งคำกว่าจะยิ้มและหัวเราะออกมาบ้าง กลายเป็นว่าฉันเป็นฝ่ายที่กินไม่หยุด เป็นคนพูด เป็นคนถาม ส่วนเบนก็เป็นแค่ผู้ฟังที่นั่งตรงกันข้ามอย่างสงบเสงี่ยม
เกือบสองชั่วโมงถัดมา ฉันหมดแรงและเริ่มง่วงนอน การเป็น “ผู้นำ” ในนัดแรกช่างเหนื่อยอะไรอย่างนี้ ควรเวลาแก่การแยกย้ายกลับบ้านเสียที แล้วฉันก็พาเบนไปส่งที่สถานีรถไฟตามเดิม
แค่นี้หรือเปล่า?
“คงจบแค่นี้ ไม่มีครั้งหน้าแหงๆ” – ฉันเดา ก็เห็นๆ อยู่เขาดูไม่ค่อยสนใจ กระตือรือร้นเท่าไหร่ เอาน่ะไม่เป็นไร ถึงไม่สานต่ออยากดูใจ ก็ถือว่าเป็นการกินขนมเล่นตอนบ่ายไปแล้วกัน ตู้โบกี้สีเหลืองกำลังวิ่งเข้าจอดที่ชานชาลา ฉันยกมือลาและบอกว่า “บ๊ายบายนะ” เบนยังคงทำหน้านิ่ง ไม่ยิ้ม ไม่มีท่าทีอื่นใดนอกจากโผเข้ามากอดกึ่งหลวมกึ่งแน่น แล้วเดินจากไปโดยไม่สบตาฉัน เขาหายไปท่ามกลางคลื่นผู้โดยสารที่ไหลเคลื่อนตัวเข้าขบวนรถ
แต่ทว่า … ความสม่ำเสมอของเบนยังคงที่ แถมมีมากขึ้นกว่าวันแรกหลายเท่า จากข้อความทั่วไปประจำวัน เปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่พิเศษกว่านั้น เบนบอกว่าดีใจที่รู้จักและได้เจอกัน ความรู้สึกที่เขามีนั้นมากกว่าเดิมและอยากให้เราก้าวไปอีกขั้น ให้ความสัมพันธ์พัฒนาขึ้นไปในทางที่ดีขึ้น
ฉันควรจะดีใจสิ ถูกไหม? แต่ไม่ เป็นความตกใจเสียมากกว่า อยากมีใครใกล้ๆ มันก็ใช่ แล้วไม่ดีตรงไหนล่ะหากมีใครที่อยากมาดูแลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่หรอก ฉันไม่ได้เล่นตัว แค่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร ไม่แน่ใจ มองไม่เห็นความสดใสในอนาคตมากกว่า ฉันจะอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไหร่ คำถามที่ตอบไม่ได้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะมีงาน กว่าจะมีเงิน กว่าจะตั้งตัวได้และไม่ต้องกังวลเรื่องวีซ่าอีก
เบนควรพบคนที่เพรียบพร้อม ฉันอยากให้เขาได้เจอ “คนที่ดีกว่านี้” คนดีๆ ที่คอยสนับสนุน ไม่ใช่คนไร้หลักแหล่งแบบฉัน แต่เขาไม่ต้องการ “ใครอื่น” เดี๋ยวฉันก็จะหางานได้ ถ้ายังขาดเหลืออะไร หรือมีปัญหาเรื่องที่พักอาศัยก็ย้ายออกมาอยู่สักที่ใดที่หนึ่งด้วยกัน เบนคิดไปไกลถึงขั้นนั้น
คนที่ดีกว่านี้
เรายังคุยกันทุกวันเหมือนเดิม แต่บทสนทนาที่เคยอ่อนหวานกลายเป็นนิยายน้ำเน่า เรายังเจอกันอยู่บ้าง เบนไม่ได้ขี้อายเหมือนในครั้งแรก เขาบอกฉันทุกวันว่า “เราสองคน” จะเป็นไปได้ ฉันส่ายหน้า และยิ่งเบนเพียรพยายามมากแค่ไหน ฉันยิ่งผลักไสด้วยประโยคใจร้ายว่า “เรา” ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าใจสองดวงจากสองคนตรงกันมันย่อมมีวิธีและเกิดขึ้นได้จริง เขามั่นใจ เบนมุ่งมั่น จริงจัง หนักแน่น และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างนี้เสมอ
“เธอเป็นคนเข้มแข็ง อ่อนโยน และมีเหตุผล”
“บางครั้ง ชีวิตคนย่อมมีข้อด่างพร้อยมีผิดพลาดกันบ้าง ไม่ใช่เพราะความเขลาอย่างที่เธอคิด”
เบนบอกกับฉันอย่างนั้น
หมดแรง
แต่แล้วเบนก็เริ่มหมดแรง เขาคงล้าเหลือกำลังเสียเต็มที ที่ฉันเอาแต่พูดพร่ำเพ้อ ไม่ไยดีความรู้สึกของเขาเลย เขาคงเหนื่อยเกินไปกับการที่ได้ยินคำซ้ำซากจากปากฉัน- นางโศกผู้โยกโย้ โยเย ยืดยาดว่า เขาคู่ควรคนที่ดีกว่านี้
แม้สองใจของสองคนอาจเข้มแข็งมากพอจะผูกกันไว้ แต่หากใครคนหนึ่งปล่อยมือจากไป มันก็คงเป็นจริงไม่ได้ หากไม่ร่วมมือและก้าวไปด้วยกัน ฉันรู้ว่าเขาเสียใจ แต่ก็ยังยืนยันคำเดียวคำเดิม ฉันรู้ว่าเบนเสียใจ แต่รู้ไหม ใจฉันเองมันก็เศร้า ได้แต่สงสัยว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่า มันควรจบแบบนี้ใช่ไหม หรือมันควรจะเป็นความสัมพันธ์ดีๆ ที่เกิดจากพื้นที่ของความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่า?
แล้วเบนก็หมดแรง ไม่มีข้อความตอนเที่ยง บ่าย และก่อนนอนเหมือนวันก่อน ไม่มีอีกแล้วกำลังใจ ฉันไม่เหลือใคร นอกจากตัวเองอีกครั้ง เพียงแค่ว่า ในหนึ่งเดือนถัดมา ฉันก็หางานได้เป็นอย่างที่เบนเคยพูดไว้ไม่ผิด
ก็คงจบแค่นี้
2014 ปีเปราะบางจบสิ้นไปแล้ว ฉันเลิกเล่นเว็บสีส้มและไม่เจอเบนอีกเลยนับจากนั้น กระทั่งวันที่โลกออนไลน์เปิดโอกาสให้เห็นชื่อเขาปรากฏในหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย “ความบังเอิญ”
หนุ่มน้อยจากเอเชียตะวันตกชนชาติชาวเปอร์เชียนแต่งงานแล้วกับเจ้าสาวชาวเยอรมัน อาศัยอยู่ที่ใดที่หนึ่งในเบอร์ลินตะวันตก ภาษาเยอรมันของเบนพัฒนาขึ้นมาก บทความเรื่องการเมืองในตะวันออกกลางที่เขาเขียนแชร์นั้นแสดงทักษะระดับ C1-C2 เลยด้วยซ้ำ รูปปาร์ตี้วันสำคัญ และทริปไปเที่ยวจากโพรไฟล์เฟซบุ๊ก ภาพถ่ายเหล่านั้นบ่งบอกว่าเขาดูมีความสุขสบายดีกับปัจจุบันและ… คนข้างๆ
ส่วน “ฉัน” ไม่ได้เป็น “นางโศก” อีกต่อไป เริ่มมั่นใจและเรียนรู้แล้วว่าการมองว่าตัวเองไร้ค่านั้นเปล่าประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต ฉันมีความสุขระดับปกติ อาศัยอยู่กับคู่ครองชาวเยอรมันในเบอร์ลินเกือบๆ ฝั่งตะวันออก มีงานทำ มีเงินใช้ ถือวีซ่าโดยสมบูรณ์และยังดิ้นรนกับภาษาเยอรมันขั้นกลางไปวันๆ
ดูเหมือนว่า “เราสองคน” ต่างได้รับสิ่งที่มองหา
สุดท้ายแล้วก็เป็นไปได้และเกิดขึ้นจริงอย่างที่เบนบอกไว้ เพียงแค่ว่าหลังจากสองใจแยกไปสองทาง ต่างวาระ ต่างเงื่อนไข เราต่างได้เจอสิ่งนั้นกับ “คนอื่น” ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เบนอยู่ที่ใด เขาคงได้พบ “คนที่ดีกว่านี้” ฉันหวังเช่นนั้น
ประสบการณ์นี้ให้อะไรกับเราบ้างนะ ความรู้สึกดีๆ ที่เขามี มันจริงแท้แค่ไหน ฉันเองก็ตอบไม่ได้ แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงที่เคยต้องดูแลตัวเองเพียงลำพัง ในวันที่มีแต่ความเปราะบางและสับสน ฉันกลับได้พบความซาบซึ้งใจจากเพื่อนใหม่อย่าง “เบน”